วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ขม๊อจ : ตำนานผีแห่งชุมชนเมืองเขมรขุขันธ์ - สุรินทร์

ทมบ ว่านโพง อ๊าบ จะแกคะเมา
ตำนานผีแห่งชุมชนเมืองเขมรขุขันธ์ สังขะ สุรินทร์ และชุมชนแถบอีสานใต้ - กัมพูชา


***โปรดใช้วิจารณญาณในการรับสาร***แสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพ***

ผู้เขียน : มงกุฎ แก่นเดียว

การที่ชาวบ้านในแถบชุมชนเมืองเขมร (เช่น อำเภอขุขันธ์ อำเภอสังขะ และแถบจังหวัดสุรินทร์) เชื่อในเรื่องของ "ผี" ก็เพราะพบปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ถ้าอธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็คงไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน

เท่าที่ผู้เขียนได้เติบโตอยู่ในหมู่ชาวเขมรมานานมักได้พบปรากฏการณ์ดังต่อไปนี้

1. แสงไฟสว่างโพลงลอยตามท้องนาในเวลาฝนตกยามค่ำคืนแสงไฟนี้จะลอยสูงบ้างต่ำบ้างดับหายไปบ้างแล้วสว่างขึ้นใหม่บางครั้งมีแสงไฟและรายดวงวิ่งเข้าชนกันเกิดแสงแตกกระจายเป็นสีเขียวอมเหลืองคนเฒ่าคนแก่บอกว่านั่นคือ "พลืง ทมบ" (ไฟปอบ) กำลังออกหาจับกบเขียดกิน

2. คนป่วย บางคนป่วยกะทันหัน นอนนิ่งไม่พูดจา และหากไปจ้องตา ผู้ป่วยจะไม่กล้าสบตาด้วย หากสังเกตดูจะพบว่าดวงตาแข็งทื่อและมีประกายเต้นหลุกหลิก คล้ายระแวงว่าคนจะรู้อะไรบางอย่าง บางรายก็ป่วยกระเสาะกระแสะนานวัน

หมอเวทย์มนต์จะใช้คาถาอาคมผูกไว้ โดยการเอาปูนกินหมากเสกคาถา (บางคนเสกน้ำลายคาดล้อมรอบข้อมือทั้งสองหรือข้อเท้าทั้งสอง) แล้วผูกหัวไพลหรือหัวพญาว่านจี้ไปตามตัวผู้ป่วย เมื่อกี้ไปถูกจุดที่ปอบสิงอยู่ผู้ป่วยก็จะร้องโอดโอย

เมื่อเป็นดังนี้แล้ว หมอเวทย์มนต์ก็จะถามว่า "แกเป็นใคร" ถ้าตอบว่า "เป็นปอบ" ก็จะถามอีกว่า "ชื่ออะไร ใครใช้มา โกรธเคืองด้วยเรื่องอะไร" ผู้ป่วยก็จะตอบไปตามนั้น หากโกหก หมอเวทย์มนต์ก็จะจี้ทรมานไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเขียนได้ความจริง

ในบางราย หมอเวทมนตร์ก็ปล่อยปอบนั้นไป ในบางรายก็เรียกเจ้าของปอบมาเพื่อต่อว่าและห้ามปรามกัน เจ้าของปอบมักจะมาขอโทษ ขอไถ่คืน เพราะถ้าฆ่าปอบเสียแล้ว เจ้าของปอบก็จะตายด้วย

พวกปอบนี้อาจไม่ได้มีเจตนาเรียนวิชาปอบ แต่เรียนไสยศาสตร์อย่างอื่น ด้วยเหตุที่ในวิชาไสยศาสตร์นั้นมีข้อห้ามที่ต้องถือปฏิบัติ เมื่อกระทำผิดข้อห้าม ก็จะแตกกลายเป็นปอบ

พวกปอบนี้ยังเกี่ยวข้องกับการเรียนวิชาอยู่ยงคงกระพัน โดยใช้ขี้ผึ้งใส่ในตลับ ในขี้ผึ้งมีส่วนผสมของน้ำมันผี ว่านโพรง เข็ม และอื่นๆ อีกหลายอย่าง แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ "ว่านโพรง" และ "น้ำมันผี"

ว่านโพรงมีลักษณะต้นเป็นกอคล้ายขมิ้น เมื่อหัวแก่เต็มที่แล้ว ในวันพระยามค่ำคืนจะมีแสงไฟลอยออกจากโคนต้น หลังจากนั้นหากไปดูที่โคนต้นเห็นกระดูกกบเขียด และสัตว์เล็กๆ อื่นๆ กองอยู่ ก็แสดงว่าว่านโพรงได้ออกไปจับสัตว์กิน กลายเป็นพืชผีสิงไปแล้ว

หัวว่านโพรงนี้ต้องมีมนตร์ไปเอามา เมื่อได้มาแล้วให้หั่นตากให้แห้งแล้วใช้ไม้เจาะเป็นรูกลวงกลางแว่น บริกรรมคาถา ใช้ไม้นั้นหมุนจนว่านยืดขยายรูออกขนาดสวมนิ้วเป็นแหวนได้

ผู้ใดสวมแหวนว่านโพรงจะอยู่ยงคงกระพัน เอามือจับไฟแดงๆได้โดยไม่ร้อนไม่พอง ฟันหรือแทงด้วยมีดไม่เข้า ยิงด้วยปืนไม่ออก เป็นของวิเศษที่ใช้ป้องกันตัวได้

ส่วนน้ำมันผี เมื่อไปเอามาแล้วต้องให้อาหารกินเสมอ โดยเรียกวิญญาณให้มากิน ถือว่ามีผีตามมาด้วย เมื่อผสมน้ำมันผีกับว่านโพรง ก็ต้องจัดให้ผีกินพวกกบเขียด เนื้อ และที่ผีชอบมากๆ ก็คือ เลือดสดๆ ของคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลือดคนที่คลอดลูก

ผีตัวนี้เจ้าของมีมนตร์ผูกไว้ให้อยู่ในตลับขี้ผึ้ง และมีมนตร์คลายเพื่อให้ออกไปหากินกบเขียด

จะเห็นว่าคุณประโยชน์ของการเลี้ยงปอบก็คือ เจ้าของผู้เลี้ยงอยู่ยงคงกระพัน หากใครจะมาทำร้ายก็จะรู้ตัวก่อน ถ้าเจ้าของโกรธกับใคร ปอบก็จะเข้าไปทำร้าย คือไปสิงกินเลือดกินตับคนนั้นจนกระทั่งถึงตายได้
คนที่เรียนทางอยู่ยงคงกระพันนี้แหละที่เชื่อว่าจะ "แบ๊กทมบ" (แตกเป็นทมบ) คือกลายเป็นปอบ และเมื่อเป็นปอบแล้วฤทธิ์เดชของปอบนั้นแรงหนักหนา ปราบยากมาก

มีบางคนที่เป็นทมบ (ปอป) แล้วปล่อยทมบให้ไปเข้าคนอื่น หมอเวทมนตร์ไปไล่ก็ไม่ยอมออก ต้องไปเชิญเจ้าของมาไล่

ยังมีทมบอีกอย่างหนึ่งคือ ทมบไม่มีเจ้าของ เนื่องจากเจ้าของตายไปแล้ว แต่ทมบยังอยู่ ทมบชนิดนี้ก็เที่ยวสิงในตัวคนเหมือนกัน

คุณตาท่านหนึ่งเป็นทหารเก่า ท่านเล่าว่าสมัยที่ท่านยังหนุ่ม ท่านก็อยากจะเรียนวิชาอยู่ยงคงกระพัน จึงชวนเพื่อนคนหนึ่งไปหาครูเวทมนตร์

เมื่อแจ้งความประสงค์แก่ครูแล้ว ครูก็บอกว่าวิชานี้มันอาจจะแตกเป็นทมบได้ (กลายเป็นปอบ) ไม่กลัวหรือ คุณตากับเพื่อนบอกไม่กลัว ครูบอกว่าทั้งสองยังเด็กนัก อย่าเพิ่งเรียนเลย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พักอยู่ด้วยกันซัก พักอยู่ด้วยกันสักสองสามวันก่อนแล้วจึงค่อยตัดสินใจ

คืนแรกนั้นเป็นวันพระดับ เดือนมืด ครูได้พาไปที่ห้องตรงหน้าบ้าน แล้วเอาตลับขี้ผึ้งวางไว้บนจานใบหนึ่ง และมีมีดปลายแหลมยาวเกือบเกือบหนึ่งคืบ เป็นมีดไม่มีด้าม วางไว้บนจาน ครูได้จุดเทียนนั่งนิ่งบริกรรมคาถา

สักครู่หนึ่งมีก็ค่อยๆ เคลื่อนไหว สั่นแรงขึ้นๆ แล้วก็ค่อยๆ หดตัวย่อสั้นลงจนกลมเล็กเท่าแมลงภู่ แล้วหมุนเร็วขึ้น จากนั้นก็ลอยหายไปในความมืด

ครูยังบริกรรมคาถานานต่อเนื่องกันประมาณสองชั่วโมงก็เห็นมีดนั้นกลับมาปรากฏที่จานพร้อมด้วยตับคนสดๆ

ครูบอกว่าต้องให้มันออกไปกินตับคนอย่างนี้ปีละครั้ง ถ้าไม่เช่นนั้นมันจะกินตัวเราเองหรือกินลูกเมียเรา

สำหรับคนที่ถูกกินตับนั้น โดยมากมักเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอหรือดวงขาด

ในวันที่สองครูไม่อยู่บ้าน คุณตากับเพื่อนได้แอบไปดูห้องนอนของครู เห็นมีโอ่งใบหนึ่ง มีกลิ่นเหม็นคาว เลยพากันคิดว่าเป็นที่กินศพของครู คุณตากับเพื่อนกลัวมากจึงพากันหนีมา

คนที่เป็นปอบจะไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้มีศีลเคร่งครัด มีสมาธิมั่นคง และจะกลัวแก่นมะขาม คนสมัยก่อนเอาแก่นมะขามมาทำไม้แกะปูนกินหมาก คนเป็นปอบจะไม่กินหมากนั้นเลย

สำหรับการฆ่าปอบจะต้องทำโดยตัดเอาลึงค์หมาดำปลอด (หมาที่มีขนสีดำปลอดทั้งตัว) แล้วเอาต้นระแซ็ยสาบ (ไผ่จืด ไผ่เล็กๆ เหมือนต้นหญ้า มักปลูกกระถางไว้ข้างบ้าน) สามต้น สอดเสียบในลึงค์หมาดำแล้วเอาไปตากแดดให้แห้ง เวลาจะใช้เอามาฝนกับน้ำเอาดินปืนใส่ผสมให้คนถูกปอบเข้ากิน ในที่สุดปอบจะตายและเจ้าของปลอมก็จะตายตามไปด้วย

คนเป็นปอบจะหวงโอ่งน้ำดื่มของเขามากเพราะกลัวคนเอายาฆ่าปอบไปใส่ แม้แต่เวลาถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็ไม่ให้ใครรู้ว่าถ่ายตรงไหน เพราะกลัวคนอื่นจะไปทำให้มนตร์เสื่อม

ปอบเป็นลมชนิดหนึ่งแล่นไปได้ทั่วร่างกาย ถ้าจี้ถูกก็จะร้องโอดโอยทันที อันนี้ตรงกับคำเรียกของคนเขมรคำหนึ่งว่า "ซั๊จขย็อล" (สัตว์ลม) คือของสิ่งนี้มีร่างกายเป็นลม เข้าสู่ร่างกายคนในสภาพชนิดหนึ่ง

เมื่อเราไปพบปอบเป็นแสงไฟลอยอยู่กลางทุ่ง สิ่งแรกที่ต้องทำคือ "เปื๊อดสีมา" (พัทธสีมา) การเปื๊อดสีมานี้คือ การร่ายมนตร์แล้ววิ่งล้อมเป็นวงกลม เป็นการสร้างอาณาเขตขึ้นโดยมนตร์เพื่อไม่ให้ปอบหลบหนีไปได้
ในการเปื๊อดสีมานี้ ปอบที่รู้ตัวก่อนก็มักจะบินหลบหนีไปได้ก่อน จึงต้องเริ่มจากจุดใต้ลม เดินวนไกลๆ ร่ายมนตร์ไป เมื่อได้รอบหนึ่งแล้วจึงร่ายมนตร์จับปอบ แสงไฟนั้นจะลอยหนี และบางครั้งมัน จะพุ่งเข้าหา ให้ใช้ผ้าขาวม้าโบกฟาดให้ตกลง

การลอยตัวฉวัดเฉวียนหนีและการไล่ตีจะเป็นไปอย่างดุเดือด เมื่อตีตกแล้วก็จะเห็นเป็นตลับใส่ขี้ผึ้งที่ปิดแน่น
ส่วนเจ้าของปอบ เมื่อปอบของตนถูกจับได้ก็จะรู้ทันที และมักจะมาขอไถ่คืน หากไม่ให้ไถ่คืน เพียงวันสองวันเจ้าของปอบก็ตาย

ในกรณีที่ปอบเข้าคน สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือร่ายมนตร์ผูกปอบไว้ก่อน แต่โดยมากเมื่อปอบรู้ว่าครูเวทมนตร์เก่งกล้าวิชาหรือมีมนตร์ดี ปอบมักจะรีบหนีไปก่อน ครูเวทมนตร์จึงมักเสกปูนกินหมากให้คนไปคาดล้อมข้อมือข้อเท้าของคนที่ปอบเข้าไว้ก่อนแล้วจึงใช้ไพลจี้จับ

สำหรับสิ่งที่เรียกว่า "อ๊าบ" (กระสือ) นั้น เป็นผีที่ไม่มีแรงเท่าปอบ เกิดจากการเรียนเสน่ห์ เช่น เสน่ห์ยาแฝด เป็นต้น ที่สำคัญขี้ผึ้งเสน่ห์นั้นมีส่วนผสมของน้ำมันผีด้วย ต้องให้อาหารกินประจำเช่นกัน และเมื่อผิดครูก็จะแต่กลายเป็นอ๊าบ

อ๊าบไม่ทำร้ายคน แต่มักชอบออกไปหากินกบ กินเขียด เท่านั้น คือชอบไปกินของสกปรก

แต่ก็ยังมีข้อที่ยังไม่แน่นอนตรงที่ว่า การไปกินนั้นตลับขี้ผึ้งไปหรืออะไรไป เป็นซั๊จขย็อล (สัตว์ลม) ไปหรืออะไรกันแน่ แต่จากคำเล่าลือนั้นบอกว่า ในยามที่เจ้าของนอนหลับก็จะถอดกายไปเฉพาะหัว และมีลำไส้ติดไปด้วยเป็นพวง

การไปทั้งหัวและลำไส้นี้ไม่สามารถเข้าคนได้ ทำได้เพียงแต่หลอกหลอนเท่านั้น ความเชื่ออันนี้เองในเวลาที่ชาวบ้านเขมร คลอดลูกอยู่ไฟก็จะเอาหนาม เช่น หนามเล็บเหยี่ยวหรือหนามไผ่ไปล้อมจุดที่อาบน้ำที่มีเลือดของคาวของคนอยู่ไฟตกลงไป เพื่อกันไม่ให้อ๊าบเข้าไปกินได้

เชื่อว่าถ้าอ๊าบกินเเล้วคนที่เป็นเจ้าของเลือดจะซูบซีดจนตายไป

ผู้เขียนไม่เคยเห็นอ๊าบแบบนี้กับตา แต่ชาวบ้านบางคนบอกว่าเคยเห็นกับตาจริงๆ เขาออกไปส่องกบเห็นในทุ่งนาไกลๆ หมู่บ้านไป เมื่อตัดหนามจะไล่ตะครุบ มันกลับหนีเร็วมาก

แต่ปัจจุบันนี้ ตามทุ่งนาเวลามีฝนตกไม่ปรากฏว่ามีแสงไฟทมบดังแต่ก่อนแล้ว และคนที่ถูกทมบเข้าก็นานๆ จะได้ยินสักครั้ง เคยได้ยินว่ามีแต่แถบชายแดนเขมร

ที่เป็นดังนี้ไม่ทราบว่าเพราะสาเหตุอะไรแน่ แต่สันนิษฐานว่าเพราะการเรียนอยู่ยงคงกระพันแบบแต่ก่อนมีน้อย หรือไม่มีเลย และอีกอย่างหนึ่ง ในสมัยก่อนหมอเวทมนตร์ได้ฆ่าปอบทิ้งและวางยาให้เสื่อมก็มากราย จึงทำให้จำนวนปอบลดลง แต่หากหมู่บ้านใดมีปอบอยู่ เมื่อทำร้ายคนก็หาหมอเวทมนตร์ที่จะปราบยากขึ้น เพราะหมอเวทมนตร์ก็ล้มหายตายจากไปมากแล้วเช่นกัน อีกอย่างนั้น คนรุ่นหลังก็ไม่ได้เรียนเอาไว้

สำหรับ "จะแกคะเมา" (หมาดำ) ก็เป็นปอบชนิดหนึ่ง คนที่เรียนก็เพื่ออยู่ยงคงกระพันเช่นกัน เพียงแต่ส่วนผสมในขี้ผึ้งนั้นต่างกันตรงที่จะแกคะเมาไม่ได้ใช้น้ำมันผี แต่ใช้ขี้ผึ้งหรือขี้เทียนที่ไปจุดไหว้ "อารักษ์" แรงๆ มาผสม เมื่อแตกแล้วก็จะเป็นจะแกคะเมา

การเป็นจะแกคะเมานี้ เจ้าของผู้เลี้ยงมักใช้ให้ไปทำร้ายศัตรูของตน เช่น ในตอนกลางคืนก็มักจะฝันหรือเกิดประสาทหลอนว่ามีหมาดำไล่กัด บางคนกลายเป็นบ้าไปเลย

จะแกคะเมาก็เช่นเดียวกับทมบคือ เจ้าของตายไปแล้ว แต่จะแกคะเมาไม่ได้ตายตาม ยังอยู่รังควาญคน เช่น บางทีตอนดึกก็ได้ยินเสียงลมหายใจหมาหอบแฮ๊กๆ มองดูก็จะเห็นหมาดำตัวเล็กๆ แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ขนาดเท่าๆ ม้า อย่างนี้เป็นต้น

หมอเวทมนตร์บอกว่าถ้าปรากฏจะแกคะเมาบริเวณทางแยกไหนบ่อยๆ หรือตามต้นไม้ไหนก็ตาม วิธีกำจัดก็คือ ให้ขุดเอาหัวต้นปรงพิษ ต้นไม้ชนิดนี้มักขึ้นอยู่ตามป่า เป็นกอ ใบคล้ายใบมะพร้าว แต่เล็กกว่า มีหัวอยู่ในดิน ต้นที่งามๆ หัวจะใหญ่เท่าบาตรพระ ให้ขุดเอามาแล้วคว้านหัวให้กลวงคล้ายหม้อ เอาไก่ถอนขนต้มใส่ในอ่างหัวปรงพิษนั้น แล้วเอาไปวางไว้ในจุดที่เห็นจะแกคะเมา พอตกกลางคืนจะแกคะเมามากินแล้วก็ตายในที่สุด

คัดลอกจาก : อัษฎางค์ ชมดี.  (2551).  ๑๐๐ เรื่อง เมืองสุรินทร์.  สุรินทร์: สุรินทร์สโมสร.
ทางเว็บไซต์นำบทความมาเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานความรู้ ไม่มีเจตนาบิดเบือน และไม่มีการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น